การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์ น้ำมันเครื่องและสิ่งที่สำคัญ
การตรวจเช็คสภาพของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นการดูแบตเตอรี่ ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรคหลายๆคนคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่ยากและวุ่นวายพอสมควร และ ต้องพึ่งมาช่างซ่อมรถเท่านั้น ซึ่งหากได้รู้จักวิธีการเช็คแล้วก็จะมีความคิดที่เปลี่ยนไปทันทีเพราะว่าทุกคนก็สามารถทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด ซึ่งในบทความนี้จะรวบรวมการตรวจเช็คสภาพรถยนต์หลายอย่างที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่าย
ข้อดีของหมั่นตรวจสภาพรถเป็นประจำ
- เพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถในแต่ละครั้ง ให้รถมีความพร้อมในการใช้งานและลดความเสี่ยงที่รถเสียระหว่างเดินทาง
- ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้นานขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ ชิ้นส่วนต่างๆภายในรถยนต์ และ ลดอัตราการเสื่อมสภาพได้ดี
- ประหยัดค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาซ่อมแซมได้ เนื่องจากมีการตรวจเช็คเป็นประจำ และ ช่วยให้เห็นจุดผิดปกติและแก้ไขได้ทันที เพราะหากปล่อยไว้นานอาจจะทำให้เกิดความเสียหายหนักกว่าเดิม
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ สามารถรักษามูลค่าได้ดีทำให้คงสภาพรถยนต์ให้ดูใหม่ได้เสมอ
1. เช็คแบตเตอรี่
การตรวจเช็คสภาพของแบตเตอรี่แบบไม่ใช้อุปกรณ์จะมีจุดสังเกตคือ
- รถเริ่มสตาร์ทติดยากขึ้น โดยฟังเสียงจากตัวรถว่าหากก่อนสตาร์ทมีเสียงหลายๆ “แชะ” ให้ระวังไว้ว่าแบตเตอรี่อาจจะเริ่มมีการเสื่อมสภาพ
- เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถ (วิทยุ, หลอดไฟ) หากเห็นความผิดปกติบางอย่างเช่น เสียงขาดๆหาย หรือ ไฟกระพริบดับๆ เป็นบางช่วงให้พึงระวังไว้ว่าแบตเตอรี่อาจจะเสื่อม
หรือการดูค่าวัด CCA ในใบ Battery Test จากเครื่องเทสแบตเตอรี่ ให้สังเกตของค่า Measured สูงกว่า ค่า Rating สภาพแบตเตอรี่ยังคงอยู่ในสภาพดีอยู่ แต่หากค่า Measured ต่ำกว่า ค่า Rating แสดงว่าแบตเตอรี่ควรที่จะเปลี่ยน
2. เช็คน้ำกลั่น
ตัวแบตเตอรี่จะมีน้ำกลั่นอยู่สามารถตรวจสอบระดับน้ำกลั่นได้ที่ตาแมว ซึ่งระดับน้ำกลั่นควรที่จะอยู่ระหว่าง Max – Min (ควรตรวจสอบทุกๆ 6 เดือน)
***สำหรับแบตเตอรี่แบบแห้งจะมีวันหมดอายุระบุไว้ชัดเจน**
3. เช็คน้ำมันเครื่อง
- สตาร์ทรถทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที และดับเครื่อง
- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องมาเช็ดทำความสะอาด และ นำไปเสีบกลับเข้าที่เดิมเพื่อวัดระดับน้ำมันเครื่อง
- สังเกตขีด F และ L ให้ระดับน้ำมันเครื่องอยู่ในขีดระดับ F หากไม่ถึงก็ควรที่จะเติมให้เต็มถึงระดับ F
- หากอยู่ในระดับต่ำกว่า L ให้ระวังไว้ว่าอาจจะมีการรั่วซึมในส่วนห้องเครื่องก็ได้
วิธีการเปรียบเทียบระหว่างน้ำมันเครื่อง เก่า และ ใหม่มีวิธีการสังเกตง่ายๆ คือน้ำมันเครื่องเก่าจะมีสีที่ขุ่นออกน้ำตาลเข้ม แต่ ถ้าของใหม่จะไม่มีการขุ่นและสีจะออกใส
หากไม่มีประสบการณ์ในการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ แนะนำว่าให้หมั่นไปตรวจเช็คสภาพรถยนต์ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ ตามอายุการใช้งานเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และรักษาสภาพรถยนต์ให้มีอายุการใช้งานได้ในระยะยาว
4. เช็คน้ำมันเบรค
การตรวจเช็คน้ำมันเบรคจะมีวิธีการง่ายๆในการดูคือ
- เปิดฝากระโปรงรถ
- ดูระดับของเหลวในกระปุกน้ำมันเบรค
- สังเกตตัวอักษร Max – Mix
- ระดับน้ำมันเบรคควรอยู่ในระดับ ระหว่าง Max – Min
- ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน
หากตัวของเหลวต่ำกว่าระดับ Min แล้วอาจจะเกิดความเสียหายตามมาเมื่อผู้ขับขี่เหบียบเบรค และ หากเกินกว่า Max อาจจะส่งผลให้น้ำมันเบรคล้นออกมาทางฝาปิดและเกิดความเสียหายต่อสีตัวถังรถได้ ดังนั้นแล้วถ้าอยู่ในระดับต่ำกว่า Min ก็ควรที่จะเติมน้ำมันเบรคเพิ่ม แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะต้องเติมน้ำมันเบรคแบบไหน ควรที่จะปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่ดีที่สุด
5. เช็คถังน้ำฉีดกระจก
เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะละเลยเนื่องจากไม่ค่อยใช้เป็นประจำ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องหมั่นดูแลให้มีปริมาณน้ำเหลือสำหรับการใข้งานทุกๆครั้ง เผื่อสำหรับเอาไว้ล้างกระจกหน้ารถไม่ให้มีคราบสกปรกติดอยู่บนกระจก เพียงแค่เติมน้ำธรรมดาลงไปให้พอดีกับระดับที่กำหนดไว้