รถยนต์ฮอนด้ารุ่นใหม่ ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ Hybrid จะมาในรุ่นที่มีชื่อว่า อี:เอชอีวี (e:HEV) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มอบประสบการณ์ในการขับขี่ ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานในยุคปัจจุบันมากขึ้น
ในบทความนี้มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี Hybrid ในรถยนต์ Honda และแนะนำรถยนต์ฮอนด้า e:HEV ที่น่าใช้งาน 2 รุ่นล่าสุด พร้อมราคาเริ่มต้น
เทคโนโลยี Hybrid ในรถยนต์ Honda
ฮอนด้าได้พัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนรถยนต์แบบ Advanced Full Hybrid หรือระบบขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Sport Hybrid i-MMD ซึ่งเป็นการผสานพลังงานของเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ที่มอบความสมรรถนะขับขี่ด้วยที่ทรงพลัง ให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การทำงานของระบบ Sport Hybrid i-MMD
Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) เป็นระบบเครื่องยนต์ไฮบริดที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด มอบความทรงพลังให้กับการขับขี่ พร้อมไปกับการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
สำหรับระบบ Sport Hybrid i-MMD ของรถยนต์ฮอนด้า สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่ต่อเนื่อง ได้ 6 รูปแบบ คือ
- Engine Stop Mode ขณะรถหยุดนิ่งเครื่องยนต์จะหยุดทำงาน แต่ระบบแอร์ยังคงทำงานอยู่ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่
- EV Drive Mode / Hybrid Drive Mode ขณะออกตัวและเพิ่มความเร็ว จะเป็นการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยที่เครื่องยนต์ยังหยุดทำงานอยู่ และเมื่อเพิ่มความเร็วจะเข้าสู่ระบบไฮบริด
- EV Drive Mode สลับกับ Hybrid Drive Mode ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำหรือปานกลางคงที่ จะเข้าสู่โหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบจะเลือกสลับการทำงานกับโหมดการขับแบบไฮบริด ตามระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่
- Hybrid Drive Mode ขณะเร่งความเร็วเพื่อแซง พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ จะผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเพิ่มกำลังในการเร่งแซง
- Engine Drive Mode / EV Drive Mode ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่ จะเข้าสู่โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ และระบบจะตัดสลับการทำงานกับโหมดขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ตามระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่
- Regenerating Mode ในขณะที่ลดความเร็ว เครื่องยนต์จะหยุดทำงานและชาร์จไฟกลับอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้ประสบการณ์ของการขับขี่ที่ทรงพลัง ไปพร้อมกับการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด
แนะนำ 2 รุ่น honda Hybrid ที่น่าใช้
1. Honda The City Hatchback e:HEV
ราคาเริ่มต้นที่ 849,000 บาท
Honda The City Hatchback e:HEV รถยนต์ 5 ประตู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Sport Hybrid i-MMD ทำงานคู่กับเครื่องยนต์เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ความจุ 1,498 ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า แรงบิด 127 นิวตันเมตร ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดถึง 253 นิวตันเมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที ทำให้ได้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง แต่คงไว้ด้วยอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีการขับขี่
- เทคโนโลยีความปลอดภัย Honda Sensing
- ระบบช่วยชะลอความเร็วที่พวงมาลัย
- ปุ่ม ECON พร้อมไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ระบบ Auto Break Hold
- มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
ภายนอก ออกแบบกันชนหน้า-หลัง พร้อมกับกระจังหน้าด้วยดีไซน์สปอร์ตแบบ RS ตัวโลโก้ฮอนด้าตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่เป็นเอกลักษณ์ของเทคโนโลยีไฮบริด
โดยมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานได้แก่
- ไฟหน้า ไฟท้าย และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
- ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อดับเครื่อง
- กระจังหน้า กันชนหน้า และกันชนหลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS
- สปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำแบบสปอร์ต
- ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
- กระจกมองข้างแบบ Gloss Black ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว
- ระบบปรับน้ำฝนแบบหน่วงเวลา
- เสาอากาศแบบครีบฉลาม
- ไล่ฝ้ากระจกหน้า-หลัง
- ล้ออัลลอย 16 นิ้ว
Honda The City Hatchback e:HEV มี 6 สีให้เลือก คือ
- น้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก)
- แดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
- ขาวแพลทินัม (มุก)
- เทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)
- เทาโซนิค (มุก)
- ดำคริสตัล (มุก)
ภายในของ Honda The City Hatchback e:HEV ออกแบบด้วย Dark Tone เติมความสปอร์ตด้วยวัสดุตกแต่งสีดำ Piano Black และเบาะดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยแถบสีแดง พร้อมทั้งรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้งาน กับเบาะนั่งอัลตราซีทที่ปรับพื้นที่ได้มาก ถึง 4 รูปแบบ ซึ่งมีอุปกรณ์มาตรฐานได้แก่
- เบาะหุ้มด้วยหนังกลับ ผ้า และหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยแถบสีแดง
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
- เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ
- ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ
- ช่องปรับอากาศตอนหลัง
- พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง
- ช่องจ่ายไฟสำรองด้านหน้า 1 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
- กระจกมองหลังแบบตัดแสง
- แผงบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิด ทั้งด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
- ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารและห้องสัมภาระท้าย
- พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว
- ราวมือจับ 4 ตำแหน่ง
- เบาะด้านหลังแบบอัลตร้าซีท แยกพับ 60:40
- พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสาย
- ระบบเครื่องเสียงวิทยุ หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth
- รองรับการเชื่อมต่อ Smartphone / คำสั่งเสียง Siri / ช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุด
- ลำโพง 8 ตัว
- ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT
2. Honda New City e:HEV
ราคาเริ่มต้นที่ 839,000 บาท
Honda New City e:HEV รถเก๋ง 4 ประตู ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Sport Hybrid i-MMD ทำงานคู่กับเครื่องยนต์ความจุ 1,498 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ที่เป็นระบบ Full Hybrid ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) อัตราประหยัดน้ำมันถึง 27.8 กม. / ลิตร
เทคโนโลยีการขับขี่
- เทคโนโลยีความปลอดภัย Honda Sensing
- ระบบช่วยชะลอความเร็วที่พวงมาลัย
- ปุ่ม ECON พร้อมไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ระบบ Auto Break Hold
- มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
ภายนอก ได้รับการออกแบบที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของซิตี้คาร์ ให้เป็นสไตล์สปอร์ตหรูหรา เร้าใจ ทั้งไฟหน้า/ไฟท้ายแบบ LED กระจังหน้าและสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และ e.HEV ที่เป็นเอกลักษณ์ของเทคโนโลยีไฮบริด โดยมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานได้แก่
- ไฟหน้า และไฟท้าย แบบ LED
- ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
- ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อดับเครื่อง
- กระจังหน้า กันชนหน้า และกันชนหลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS
- สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black
- กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัวสีดำแบบสปอร์ต
- ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา
- เสาอากาศแบบครีบฉลาม
- ไล่ฝ้ากระจกหน้าและหลัง
- ล้ออัลลอย 16 นิ้ว
Honda New City e:HEV มี 6 สีให้เลือก คือ
- น้ำเงินออบซิเดียน (มุก)
- แดงอิกไนต์ (เมทัลลิก)
- ขาวแพลทินัม (มุก)
- ดำคริสตัล (มุก)
- เงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
- เทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
Honda New City e:HEV ภายใน ได้รับการตกแต่งด้วยโทนดำที่เน้นความสปอร์ตหรูหรา ตั้งแต่เบาะนั่งไปจนถึงเพดาน และยังโดดเด่นด้วยห้องโดยสารที่มีความกว้างขวางสบายในทุกมิติ มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานได้แก่
- วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังกลับ ผ้า และหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้ายสีแดง
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
- เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ
- ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ
- ช่องปรับอากาศตอนหลัง
- พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง
- ช่องจ่ายไฟสำรองด้านหน้า 1 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
- กระจกมองหลังแบบตัดแสง
- แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิด ทั้งด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
- ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารและห้องสัมภาระท้าย
- พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว
- ราวมือจับ 4 ตำแหน่ง
- ระบบเครื่องเสียงวิทยุ หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth
- รองรับการเชื่อมต่อ Smartphone / คำสั่งเสียง Siri / ช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุด
- ลำโพง 8 ตัว
เทคโนโลยี Honda Sensing ที่มาพร้อมกับ e:HEV
ฮอนด้าขุมพลัง Sport Hybrid i-MMD ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda Sensing ที่ช่วยหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ได้แก่
1. ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
โดยจะแจ้งเตือนไปยังคนขับให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยาน หรือคนข้ามถนนที่อยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย ไปยังหน้าจอแสดงข้อมูล พร้อมสัญญาณเสียง
รวมไปถึงการสั่นเตือนที่พวงมาลัยในกรณีที่รถสวนทาง ซึ่งเมื่ออยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชนแต่ไม่มีการตอบสนองจากคนขับ ระบบจะทำการเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ
2. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
ช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งเอาไว้ และจะปรับความเร็วอัตโนมัติด้วยกล้องตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม
3. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยให้คนขับสามารถควบคุมรถให้อยู่ในช่องได้เป็นปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ได้
4. ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบจะใช้กล้องหน้าตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร โดยหากพบว่ารถอยู่ในสภาวะที่เบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอ พร้อมกับการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ
5. ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และปรับเป็นไฟต่ำเมื่อมีรถสวนทาง หรือมีรถด้านหน้า
สรุปท้ายบทความ
รถยนต์ฮอนด้าที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยระบบ Sport Hybrid i-MMD และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) พร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ในการขับขี่แล้ว
สำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจข้อมูลรถยนต์ฮอนด้าในรุ่น e:HEV หรือรับข้อเสนอในการออกรถเพิ่มเติม สามารถติดต่อ V Group Honda เพื่อรับบริการกับเราได้จากทุกช่องทางเลยครับ